หน้าแรก

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

  จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนอนดึก??


            การนอนดึกนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะเลย เพราะนอกจากจะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส มีโรคภัยเบียดเบียนแล้ว สุขภาพจิตก็ยังย่ำแย่อีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่าภัยร้ายจากการนอนดึก ส่งผลร้ายต่อร่างกายคุณอย่างไร ...
การย่อยอาหาร       ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ ต่างจากการนอนตรงต่อเวลา อุจจาระที่ถ่ายออกมาก็จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่และไม่เหนียวหรือแข็งหยาบจนเกินไป เนื่องจากระบบการย่อยเกิดความอ่อนล้าจากการนอนดึก


    วิธีแก้ไข หากคุณต้องนอนดึกจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงจำพวกเนื้อสัตว์หรืออาหารเหนียวๆ เพื่อไม่ให้ลำไส้ทำงานหนัก แล้วถ้าตื่นนอนขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ควรที่จะรับประทานไข่ นม หรือน้ำผลไม้แทนอาหารหนักจำพวกเนื้อสัตว์ ซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้


การขับถ่าย       การนอนดึก ทำให้เราปวดปัสสาวะบ่อยกว่าการนอนเร็ว เพราะร่างกายถูกใช้งานเกินขีดจำกัด กล้ามเนื้อข้างในจึงพยายามเอาพลังงานออกมาใช้ ซึ่งต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือ ปัสสาวะบ่อยทำให้เกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ นอกจากนั้นแล้วก็จะทำให้ท้องผูก ขับถ่ายมีปัญหา

    วิธีแก้ไข รับประทานแคลเซียมเม็ดเพื่อป้องกันเลือดจาง ทานวันละ 1 เม็ดเท่านั้น เพราะถ้าทานมากจะเกิดกระดูกงอกทับเส้นประสาท หรือดื่มน้ำมากๆ และควรเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อช่วยระบบเลือดและความดันโลหิตด้วย ไม่ควรใช้เครื่องดื่มชูกำลังมันก็จะซึมเข้าไปในเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปปะทุที่ขาหนีบ
เหงื่อ       คนที่นอนดึกจะไม่ค่อยมีเหงื่อออกทำให้ของเสียต่างๆ อยู่ในร่างกายเสมอ เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ฝ้า และการระบายน้ำก็จะตกไปเป็นภาระของไต เพื่อขับออกมาเป็นปัสสาวะ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก และยังทำให้ปัสสาวะถี่อีกด้วย

    วิธีแก้ไข ดื่มน้ำมากๆ และควรออกกำลงกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียกเหงื่อให้ออกมากค่ะ



เรื่องที่ถูกมองข้ามเกี่ยวกับน้ำ


            คุณรู้หรือไม่ว่าร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของน้ำถึงเกือบร้อยละ 70 ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่า ถ้าหากเรามีปริมาณน้ำในร่างกายอย่างเหมาะสม น้ำก็จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เรามีสุขภาพดี เพราะว่าร่างกายของคนเราต้องการ "น้ำ" เพื่อส่งสารอาหารไปเลี้ยง "เซลล์" ในร่างกาย พร้อมทั้ง "ขับของเสีย" ออกจากร่างกาย ไม่เพียงเท่านี้ แต่น้ำยังทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและช่วยหล่อลื่นในข้ออวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย 


          อย่างที่ทราบกันดีว่า น้ำเป็นเครื่องดื่มที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และพบได้โดยทั่วไปในโลก และมนุษย์เราก็ดื่มน้ำมาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะมีเครื่องดื่มประเภทชา เบียร์ หรือไวน์ เสียอีก แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่มีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับน้ำและการดื่มน้ำ

มีอะไรที่เราควรรู้เกี่ยวกับน้ำบ้าง?


ข้อ 1. คนเราต้องการน้ำวันละประมาณ 8-12 ถ้วย (หรือราว 2-3 ลิตร) 


          ความต้องการดังกล่าวจะแตกต่างกันตามอายุ เพศ ความแข็งแรงและความกระฉับกระเฉงของร่างกาย โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายของคนเราโดยทั่วไปต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตรต่อน้ำหนักตัวทุก ๆ 25 กิโลกรัม ซึ่งตรงตามคำแนะนำที่ให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ที่เราคุ้นกันดี

ข้อ 2. อุณหภูมิของน้ำไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของร่างกาย


          นั่นเป็นเพราะไม่ว่าน้ำจะอยู่ในอุณหภูมิใด ๆ ทั้งน้ำอุ่น น้ำที่มีอุณหภูมิปกติ หรือน้ำเย็น ต่างก็ให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกายได้เหมือนกัน แต่ระดับอุณหภูมิของน้ำต่างหากที่จะมีผลต่ออัตราการดื่มน้ำของเรา มีบางคนคิดว่าน้ำที่ใส่น้ำแข็งจะช่วยลดน้ำหนัก โดยเชื่อว่าเมื่อน้ำเข้าสู่ร่างกาย อุณหภูมิที่สูงกว่าของร่างกายจะช่วยเผาผลาญแคลอรี ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว ความเชื่อนั้นถูกต้องตามหลักทฤษฎี แต่แคลอรีที่ใช้ไปเป็นปริมาณที่น้อยมาก แทบจะไม่มีนัยสำคัญเลย นอกจากนี้ "การดื่มน้ำเย็นจัด" ยังทำให้เรารู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีได้อีกด้วย

ข้อ 3.ผัก-ผลไม้ให้น้ำแก่ร่างกายในปริมาณมากกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการทั้งหมด            อาหารประเภทน้ำจะให้ปริมาณน้ำได้ตรงตามความต้องการของร่างกาย และถ้าอาหารที่เราบริโภคมีผักและผลไม้ในปริมาณมาก เสริมด้วยน้ำที่ดื่มในระหว่างมื้ออาหาร ก็จะทำให้เราได้รับน้ำในปริมาณที่ตรงตามความต้องการของร่างกายเช่นกัน โดยอาหาร 1 มื้อที่ประกอบด้วยสลัดผัก ผัดบร็อกโคลี่ ข้าวกล้อง ตบท้ายด้วยแตงโมเป็นของหวาน จะให้น้ำแก่ร่างกายของเราประมาณ 3 แก้ว อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคหลายรายที่เลือกรับประทานอาหาร "แห้ง" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารแปรรูป จำพวกชีสเบอร์เกอร์เสิร์ฟกับมันฝรั่งทอดถุงโต ซึ่งให้น้ำน้อยกว่าครึ่งถ้วย และแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอย่างแน่นอน


อาหาร 8 ชนิดที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม 

 


1.นมนมเป็นแหล่งโปรตีนที่อุดมแคลเซียมร่างกายของผู้หญิงเ ราต้องการแคลเซียมไปใช้มากกว่าผู้ชายในการดูแลกระดูก ให้แข็งแรง (โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ ช่วงให้นมแม่ หลังวัยหมดประจำเดือน) และเพื่อไม่เกิดปัญหากระดูกพรุนในภายหลัง จึงมีคำแนะนำให้ผู้หญิงดื่มนมเป็นประจำวันละ 2 แก้ว (เลือกแบบจืดชนิด low fat ) ทั้งนี้ก็เพื่อกระดูกที่แข็งแรงนั่นเองค่ะ


2.โยเกิร์ต
ในโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร ่างกายของเราทำงานอย่างสมบูรณ์ขึ้นด้วย แต่ที่สำคัญคือจะต้องเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่เต ิมผลไม้เชื่อมหรือน้ำตาลลงไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ความหวานยังไปทำลายจุลินทรีย์เสียหมด คุณค่าที่ต้องการเลยหายวับไปอย่างน่าเสียดาย


3.น้ำมันมะกอก
เป็นไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งดีและเป็นประโยชน์กับสุขภาพ เพราะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ซึ่งเป็นไขมันในหลอดเลือดตัวอันตรายหรือไตรกรีเซอไรด ์ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องของความดันโลหิตสูงได ้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีวิตามิน E สารต้านอนุมูนอิสระ (antioxidant) ที่ช่วยบำรุงผิวให้สดใสอีกด้วย


4.เมล็ดทานตะวัน
เป็นธัญพืชที่อุดมด้วยวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย ชะลออายุของเซลล์ผิว จึงช่วยให้ผิวสดใส ดูยังเป็นสาวอ่อนวัย นอกจากนั้นวิตามินอียังจะช่วยลบเลือนรอยแผลเป็นให้จา งลงไปได้ด้วย เพราะฉะนั้นจะกินเมล็ดทานตะวันเป็นของงว่างหรือโรยหน ้าสลัดจานโปรดก็ดีทั้งนั้นค่ะ


5.บล็อกโคลี
นอกจากจะอร่อยแล้ว บล็อกโคลียังเป็นผักที่ให้วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ซึ่งล้วนมีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังมีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่ปรุงให้สุกมากเกินไปเพราะค วามร้อนจะทำให้คุณค่าวิตามินต่างๆ จะหายไปหมด


6.มะเขือเทศ
เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีโดยเฉพาะระบบย่อย ที่สำคัญมีการวิจัยพบว่าการกินมะเขือเทศ (สดๆ ทั้งเปลือก) ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งปอ ดได้ ใครที่เคยเมินมะเขือเทศรีบเปลี่ยนความคิดด่วนค่ะ


7.เต้าหู้
เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญจากพืช จึงมีไขมันต่ำแถมแคลเซียมสูง ราคาก็ไม่แพง กินแล้วดีกับระบบย่อยอาหาร สบายท้อง นอกจากนั้นในเต้าหู้ยังมีสารที่ช่วยปรับระดับของฮอร์ โมนเอสโตรเจนในร่างกายให้สมดุลอีกด้วย


8.น้ำสะอาด
60 % ของร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบ น้ำจึงมีส่วนสำคัญเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และด้วยความที่สำคัญอย่างนี้คุณๆ จึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว โดยขอย้ำว่าเป็นน้ำสะอาด ไม่ใช่น้ำหวาน น้ำอัดลม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น